วิเคราะห์มหายัญในกูฏทันตสูตร
14 ก.พ. 58 | พระพุทธศาสนา
2838
ผู้แต่ง :: อาจารย์อดิศักดิ์ ทองบุญ
|
อาจารย์อดิศักดิ์ ทองบุญ (2547
(2547) |
|
| |
| ) |
|
ความนำ
ชาวอินเดีย ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล จนถึงครั้งพุทธกาลและหลังพุทธกาล มีคติความเชื่อสืบทอดกันมาว่า การบูชายัญเป็นกรณียกิจที่สำคัญและจำเป็นในชีวิต เพราะยัญเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ ถ้าทำถูกต้องตามหลักการจริง ๆ จะสามารถบังคับเทพเจ้าให้อำนวยผลที่ปรารถนาแก่ผู้บูชาได้จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงการประจบประแจงหรือการอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างธรรมดาเท่านั้น และถ้าทำให้เคร่งครัด ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุดที่เรียกว่า มหายัญ ที่มียัญสมบัติ ๓ องค์ประกอบ ๑๖ ก็สามารถบันดาลให้ผู้บูชาก้าวขึ้นสู่ฐานะเป็นเทพได้ด้วย จึงนิยมทำพิธีบูชายัญกัน มากขึ้น และมีรูปแบบวิธีปฏิบัติหลากหลายขึ้นตามลำดับ เช่น เครื่องบูชายัญต้องประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่าง ๆ จึงต้องมีการฆ่าสัตว์จำนวนมาก ยิ่งมากและหลากหลาย ชนิดเท่าใดก็ยิ่งขลังและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเท่านั้น๒ และมีบัญญัติทางศาสนาว่า การฆ่าสัตว์บูชายัญไม่บาป โดยทั่วไป การบูชายัญมีส่วนประกอบ ๓ อย่างคือ (๑) ผู้เป็นเจ้าของยัญ ที่เรียกว่า ผู้บูชา (๒) ผู้ประกอบพิธีให้ ที่เรียกว่า ผู้ทำพิธี (๓) เครื่องบูชายัญ ในการบูชามหายัญซึ่งต้องใช้เครื่องบูชามากและหลากหลายนั้น ผู้บูชาที่มีอำนาจทาง การเงินและการเมืองเท่านั้นจึงจะสามรถทำได้ ผู้ทำพิธีบูชายัญให้ถือว่ามีความ สำคัญมาก ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในพิธีกรรมต่าง ๆ อย่างถูกต้อง แม่นยำ จริง ๆ มิฉะนั้น ยัญนั้น ๆ จะไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์ หน้าที่นี้จึงสงวนไว้สำหรับพวกพราหมณ์เท่านั้น ผู้ทำพิธีกรรมให้แก่ประชาชนทั่วไป ได้แก่ พราหมณาจารย์ ส่วน ผู้ทำพิธีกรรมให้แก่พระราชาหรือผู้ครองรัฐ ได้แก่ พราหมณ์ปุโรหิต ด้วยเหตุนี้ อำนาจของพราหมณ์จึงมากขึ้น ๆ จนกลายเป็นเทวดาบนดินไปด้วย เพราะเป็นผู้รู้ใจเทพเจ้า อย่างไรก็ดี มหายัญที่สมบูรณ์แบบ คือ ที่ประกอบด้วย ยัญสมบัติ ๓ ประการและองค์ประกอบอีก ๑๖ ประการ ซึ่งเชื่อถือกันว่า เป็นมหายัญยอดขลังและศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อตกมาถึงสมัยพุทธกาลได้เลือนลางไปแล้ว พวกพราหมณาจารย์ พราหมณ์ปุโรหิต และพราหมณ์มหาศาลทั้งหลาย จึงไม่เคยพบไม่เคยเห็นคัมภีร์ที่ ว่าด้วยเรื่องนี้เลย ได้ยินแต่ชื่อและคำเล่าลือถึงสรรพคุณเท่านั้น แม้มีผู้ปรารถนาจะประกอบพิธีบูชามหายัญนี้กันมาก ก็ไม่มีผู้ใดทำให้ได้ แต่มีกิตติศัพท์ขจรไปในหมู่พราหมณ์ว่า พระสมณโคดมพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ดี และนี้แหละเป็นที่มาของ กูฏทันตสูตร
กูฏทันตพราหมณ์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปแวะพักในสวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อขาณุมัต แคว้นมคธ หมู่บ้านนี้ พระเจ้าพิมพิสารพระราชทาน เป็นพรหมไทย ให้กูฏทันตพราหมณ์ปกครอง ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับที่หมู่บ้านนั้น กูฏทันตพราหมณ์กำลังเตรียมการจัดทำพิธีบูชายัญที่มียัญสมบัติ ๓ ประการ มีองค์ประกอบ ๑๖ ประการ เพื่อความสุขความเจริญของตนเองและประชาชนใน หมู่บ้านของเขา โดยได้เตรียมสัตว์ไว้ฆ่าบูชายัญ จำนวน ๓,๕๐๐ ตัว คือ " วัวเพศผู้ ลูกวัวเพศผู้ ลูกวัวเพศเมีย แพะ และแกะ อย่างละ ๗๐๐ ตัว แต่เนื่องจากตนไม่ทราบว่าจะทำพิธีนี้อย่างไรแน่ ทราบแต่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงทราบดี ฉะนั้น เมื่อทราบจากพวกพราหมณ์ทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมาประทับอยู่ที่สวนอัมพลัฏฐิกาแล้ว จึงได้ออกไปเฝ้าทูลถามวิธีประกอบพิธีบูชามหายัญดังกล่าว
พิธีบูชามหายัญของพระเจ้ามหาวิชิตราช
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบกูฏทันตพราหมณ์ โดยทรงนำพิธีมหาบูชายัญของพระเจ้ามหาวิชิตราชในอดีตกาล มาตรัสเล่าให้ฟัง ดังมีใจความต่อไปนี้ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้ามหาวิชิตราชมีพระราชทรัพย์มหาศาล ทรงมี พืชพันธุ์ธัญญาหารเต็มท้องพระคลัง ทรงทำสงครามได้ชัยชนะจนได้ครองดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล วันหนึ่ง ทรงประสงค์จะทำพิธีบูชามหายัญเพื่อความสุขสวัสดีแก่พระองค์เองสืบต่อไปชั่วกาลนาน จึงทรงปรึกษากับพราหมณ์ปุโรหิตว่าจะทำอย่างไร พราหมณ์ปุโรหิตจึงกราบทูลแนะนำให้ทรงทำเป็นขั้น ๆ ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ให้ทรงปราบโจรผู้ร้ายแบบถอนรากถอนโคน เพื่อมิให้กลับมา เป็นเสี้ยนหนามเบียดเบียนประชาราษฎร์ต่อไปอีก โดยกราบทูลถวายวิธีการปราบโจร ๓ �วิธี คือ ๑. ให้พระราชทานพันธุ์พืชและอาหารแก่เกษตรกรผู้ขยันในการทำเกษตร ๒. ให้พระราชทานต้นทุนแก่ราษฎรผู้ขยันในการค้าขาย ๓.ให้พระราชทานอาหารและเงินเดือนแก่ข้าราชการผู้ขยันทำงานในหน้าท ี่ราชการเมื่อพระเจ้ามหาวิชิตราชทรงปฏิบัติตาม คำแนะนำนี้โดยเคร่งครัด ก็ปรากฏว่าได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง คือพระราชทรัพย์เพิ่มพูนมากขึ้น ๆ บ้านเมืองไม่มีโจรผู้ร้าย บ้านเรือนไม่ต้องปิดประตู อาณาประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า ขั้นที่ ๒ ให้มีรับสั่งถึงบุคคลในพระราชอาณาเขต ๔ พวก คือ (๑) พวกเจ้าผู้ครองเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นกับพระเจ้ามหาวิชิตราช (๒) พวกอำมาตย์ราชบริพารผู้ใหญ่ (๓) พวกพราหมณ์มหาศาล (พราหมณ์ผู้มีทรัพย์มาก) (๔) พวกคหบดีมหาศาล (คหบดีผู้มีทรัพย์มาก) เพื่อขอให้บุคคลเหล่านั้นรับทราบการพระราชพิธีบูชามหายัญ และขอความเห็นชอบด้วย ซึ่งปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นได้ตอบรับรองด้วยดี คำรับรองนี้เรียกว่า อนุมัติ ๔ (จากบุคคล ๔ พวก) ถือเป็นองค์ประกอบ ๔ ประการ ในองค์ประกอบทั้งหมด ๑๖ ประการ ขั้นที่ ๓ ให้ทรงตรวจหาคุณสมบัติ ๘ ประการของเจ้าของพิธีบูชามหายัญ คือ พระเจ้ามหาวิชิตราชเอง และคุณสมบัติ ๔ ประการของผู้ทำพิธี คือพราหมณ์ปุโรหิต ปรากฏว่าทั้งพระเจ้ามหาวิชิตราชและพราหมณ์ปุโรหิตมีคุณสมบัติครบถ้วนตามตำรา พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงประกอบด้วยคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ ๑. ทรงมีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายพระชนกและฝ่ายพระชนนี ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้ เพราะอ้างถึงชาติตระกูล ๒. มีรูปงดงามน่าดูน่าเลื่อมใส มีพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนักดุจพรหม มีพระวรกายดุจพรหม โอกาสที่จะได้พบเห็นยากนัก ๓. ทรงเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีพืชพันธุ์ธัญญาหารเต็มท้องพระคลัง ๔. ทรงมีกองทหารที่เข้มแข็ง ประกอบด้วยกองทัพ ๔ เหล่า อยู่ในระเบียบวินัย คอยรับพระบัญชา มีพระบรมเดชานุภาพดังจะเผาผลาญข้าศึกได้ด้วยพระราชอิสริยยศ ๕. ทรงมีศรัทธา ทรงเป็นทายก ทรงเป็นทานบดี มิได้ทรงปิดประตู ทรงเป็นดุจโรงทานของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจก ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอยู่เนือง ๆ ๖. ทรงรู้เรื่องราวที่ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมานั้น ๆ ไว้มาก ๗. ทรงทราบความหมายแห่งภาษิตที่ได้ทรงศึกษานั้นว่า นี้คือจุด มุ่งหมายแห่งภาษิตนี้ ๆ ๘. ทรงเป็นบัณฑิต มีพระปรีชาสามารถดำริเรื่องราวในอดีต อนาคต และปัจจุบันได้ พราหมณ์ปุโรหิตประกอบด้วยคุณสมบัติ ๔ ประการ คือ ๑. เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้ เพราะอ้างถึงชาติตระกูล ๒. เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมันตระ (บทสวด)รู้จบไตรเทพ พร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ (ว่าด้วยอภิธานศัพท์ในพระเวท) เกฏุภศาสตร์ (ว่าด้วยกฎการใช้ถ้อยคำในพิธีกรรม) อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เข้าใจตัวบทและไวยากรณ์ ชำนาญโลกายตศาสตร์ (ว่าด้วยวาทศิลป์) และศาสตร์ว่าด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓. เป็นผู้มีศีล มีศีลที่เจริญ ประกอบด้วยศีลที่เจริญ ๔. เป็นบัณฑิต มีปัญญาเฉียบแหลมลำดับที่ ๑ หรือที่ ๒ ในบรรดาพราหมณ์ผู้รับการบูชา จึงเป็นอันได้องค์ประกอบของมหายัญครบทั้ง ๑๖ ประการ (อนุมัติ ๔ คุณสมบัติของพระเจ้ามหาวิชิตราช ๘ และของพราหมณ์ปุโรหิต ๔) จากนั้นพราหมณ์ปุโรหิต ได้กราบทูลอธิบายเหตุผลให้ทรงสบายพระทัยว่า ผู้เป็นเจ้าของ พิธีบูชามหายัญที่มีองค์ประกอบครบ ๑๖ ประการอย่างนี้จะไม่มีผู้ใดครหานินทาได้ในภายหลัง ขั้นที่ ๔ ให้ทรงวางพระทัยในการบูชามหายัญทั้ง ๓ กาล คือ (๑) ก่อนการบูชา ต้องไม่ทรงเดือดร้อนพระทัยว่า กองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ของเราจักสิ้นเปลืองไป (๒) ขณะทำการบูชา ต้องไม่ทรงเดือดร้อนพระทัยว่า กองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ของเรากำลังสิ้นเปลืองไป (๓) หลังบูชาแล้ว ต้องไม่ทรงเดือดร้อนพระทัยว่า กองโภคสมบัติอันยิ่งใหญ่ของเราได้สิ้นเปลืองไปแล้ว ทั้ง ๓ ประการนี้เรียกว่า ยัญสมบัติ คือคุณสมบัติของมหายัญ ๓ ประการ ขั้นที่ ๕ ให้ทรงวางพระทัยในผู้มารับทาน ซึ่งจะมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน โดยให้ทรงตั้งพระทัยว่า จะทรงเจาะจงให้แก่ผู้ที่งดเว้นจากอกุศลกรรมบถ ๑๐ เท่านั้น ขั้นที่ ๖ ในการทำพิธีบูชายัญนั้น จะต้องไม่มีการฆ่าวัว แพะ แกะ ไก่ สุกร และสัตว์นานาชนิด จะต้องไม่มีการตัดหญ้าคา พวกทาสกรรมกรของพระเจ้ามหา วิชิตราชก็ไม่ต้องถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ตนไม่ต้องการ สิ่งที่ต้องใช้ในพิธีมีเพียงเนยใส น้ำมัน เนยข้น นมเปรี้ยว น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเท่านั้น เมื่อพระเจ้ามหาวิชิตราชทรงเตรียมการเสร็จตามขั้นตอนนั้นแล้ว พวกเจ้าผู้ครองเมือง พวกอำมาตย์ พวกพราหมณ์มหาศาล และพวกคหบดีมหาศาลได้นำทรัพย์พวกละจำนวนมากมาถวายร่วมในพิธีนั้น แต่พระเจ้ามหาวิชิตราชไม่ทรงรับ กลับพระราชทานพระราชทรัพย์ให้แก่บุคคลเหล่านั้นอีกด้วย ทั้งนี้ ทรงให้เหตุผลว่า พระราชทรัพย์ของพระองค์มาจากภาษีอากรที่ชอบธรรมของราษฎรนั่นเอง บุคคล ทั้ง ๔ พวกจึงได้จัดตั้งโรงทานขึ้นในทิศทั้ง ๔ ของหลุมยัญ คือ พวกเจ้าผู้ครองเมืองตั้งโรงทานในทิศตะวันออก พวกอำมาตย์ในทิศใต้ พวกพราหมณ์มหาศาลในทิศ ตะวันตก และพวกคหบดีในทิศเหนือ แล้วทำการแจกทานไปพร้อม ๆ กับพระเจ้ามหาวิชิตราช เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเล่าจบ พราหมณ์ทั้งหลายในที่ประชุมนั้นพากัน ส่งเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ ส่วนกูฏทันตพราหมณ์นั่งนิ่งงงงัน จนพวกพราหมณ์ ซักถามว่า ทำไมไม่แสดงความยินดี กูฏทันตพราหมณ์ตอบว่า ทำไมจะไม่ยินดี ใครไม่ชื่นชมยินดีศีรษะแตกแน่ ๆ แต่กำลังงง ไม่ทราบว่า ทรงทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะไม่ทรงใช้คำว่า "เราได้สดับมาอย่างนี้" หรือ "เรื่องนี้ควรเป็นอย่างนี้" แต่ทรงใช้ว่า "เรื่องเคยมีมาแล้ว" จึงทูลถามพระผู้มีพระภาค ก็ได้รับคำตอบว่า พระองค์ คือพราหมณ์ปุโรหิตผู้อำนวยการบูชามหายัญนั้น และทรงยืนยันว่า การบูชามหายัญครั้งนั้นทำให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ได้จริง ๆ กูฏทันตพราหมณ์ทูลถามว่า ยังมียัญอย่างอื่นที่เตรียมการน้อย แต่มีผลมากกว่ามหายัญดังกล่าวหรือไม่ ตรัสตอบว่า มี คือนิตยทาน (การให้ทานที่ทำสืบต่อกันมา ถวายเจาะจงบรรพชิตผู้มีศีล) ทูลถามว่า มียัญอย่างอื่นที่เตรียมการน้อย แต่มีผลมากกว่านิตยทาน หรือไม่ ตรัสตอบว่า มี คือการสร้างวิหารอุทิศถวายแก่สงฆ์จากทิศทั้ง ๔ ทูลถามว่า มียัญอย่างอื่นที่เตรียมการน้อย แต่มีผลมากกว่าการสร้างวิหาร หรือไม่ ตรัสตอบว่า มี คือการถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ทูลถามว่า มียัญอย่างอื่นที่เตรียมการน้อย แต่มีผลมากกว่าการถึง พระรัตนตรัยหรือไม่ ตรัสตอบว่า มี คือการสมาทานศีล ๕ ทูลถามว่า มียัญอย่างอื่นที่เตรียมการน้อย แต่มีผลมากกว่าการสมาทาน ศีล ๕ หรือไม่ ตรัสตอบว่า มี คือการออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ ตั้งอยู่ในศีล ๓ ชั้น คือ จูฬศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล บำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้ฌาน ๔ แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปจนได้วิชชา ๘ บรรลุอรหัตตผล๒ กูฏทันตพราหมณ์เลื่อมใสในพระธรรมเทศนา ประกาศตนเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต แล้วสั่งให้ปล่อยสัตว์ทั้งหมดที่เตรียมไว้ เมื่อได้ฟังอนุปุพพิกถาต่อไปอีกก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
วิเคราะห์มหายัญในกูฏทันตสูตร
๑. พระปรีชาสามารถในการสอน เมื่อกูฏทันตพราหมณ์ทูลขอให้บอกวิธีการประกอบมหายัญซึ่งมียัญสมบัติ ๓ ประการมีองค์ประกอบ ๑๖ ประการที่เชื่อกันว่าเป็นยัญชั้นสูงสุด สามารถอำนวยผลสูงสุดให้แก่ผู้บูชา แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัด พระพุทธองค์จึงทรงวางแผนการสอนเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย คือ หลักไตรสิกขา(ศีล สมาธิและปัญญา)ของพระองค์ เริ่มต้น ทรงสร้างศรัทธาในมหายัญตามความเชื่อของพราหมณ์ โดยทรง นำเรื่องการประกอบพิธีบูชามหายัญซึ่งมีคุณสมบัติ ๓� ประการ มีองค์ประกอบ ๑๖ ประการ ของพระเจ้ามหาวิชิตราชมาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเป็นขั้นเป็นตอน ทรงเน้นถึงการตระเตรียมการกันอย่างมโหฬาร เพื่อปูทางไปสู่เป้าหมายดังกล่าวและทรงทำได้สำเร็จ เพราะกูฏทันตพราหมณ์และคณะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงและให้ผลได้จริง แต่เพราะทรงเน้นถึงการเตรียมการอย่างมโหฬาร ทำให้กูฏทันตพราหมณ์ทูลถามต่อไปถึงการบูชายัญที่มีการเตรียมการน้อย แต่มีผลมาก ซึ่งเข้าเป้าหมายของพระองค์ ๒. ทรงให้ทรรศนะปฏิวัติแนวความคิดทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง พระพุทธองค์ในฐานะพราหมณ์ปุโรหิต ได้ให้คำแนะนำแก่พระเจ้ามหา วิชิตราชเป็นเชิงปฏิวัติแนวความคิดทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองในสมัยนั้นดังนี้ ๒.๑ ทรรศนะปฏิวัติแนวความคิดทางสังคม ๒.๑.๑ เปลี่ยนแนวความคิดเรื่องการบูชายัญด้วยการฆ่าสัตว์นานาชนิด เป็นการบูชาด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ แต่ให้ใช้เนยใส น้ำมัน เนยข้น นมเปรี้ยว น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยแทน โดยไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่าและธรรมชาติ ๒.๑.๒ เปลี่ยนความเชื่อจากเดิมที่เชื่อว่ามหายัญที่มียัญสมบัติ ๓ ประการมีองค์ประกอบ ๑๖ ประการ มีผลมาก เป็นความเชื่อใหม่ คือเชื่อว่า มหายัญนั้น มีการเตรียมการมาก แต่มีผลน้อยกว่านิตยทานที่ทำกันสืบ ๆ มา เริ่มตั้งแต่ชั้นต่ำสุด คือ การถวายทานเจาะจงบรรพชิตผู้มีศีล (หมายถึงปุคคลิกทาน ซึ่งมีผลน้อยกว่สังฆทาน) ทั้ง ๆ ที่มีการเตรียมการน้อยกว่า เหตุผลที่มหายัญมีผลน้อยกว่านิตยทานชั้นต่ำ เพราะมหายัญทั่วไปมีการฆ่าสัตว์ ผู้มีศีลสมบูรณ์ เช่น พระอรหันต์จะไม่ไปรับทานในพิธีนั้น ทำให้ขาดองค์แห่งทานที่สำคัญไป คือ ปฏิคาหกที่เป็นทักขิไณยบุคคล อนึ่ง ยัญสมบัติหรือคุณสมบัติของมหายัญ ๓ ประการนั้น พระผู้มี พระภาคทรงสอนไว้ในที่อื่น ๆ เหมือนกัน แต่เรียกกันว่า เจตนาสัมปทา ความถึงพร้อมแห่งเจตนาในการให้ทาน หมายถึง จิตที่เป็นโสมนัสประกอบด้วยปัญญาทั้ง ๓ กาล คือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ ทำให้ทานนั้นมีผลมาก ๒.๒ ทรรศนะปฏิวัติแนวความคิดทางเศรษฐกิจ เมื่อพระเจ้ามหาวิชิตราชทรงปรึกษากับพราหมณ์ปุโรหิตว่า พระองค์มีโภคสมบัติที่เป็นของมนุษย์เป็นอย่างมาก ทรงรบชนะได้ครองดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล จึงทรงปรารถนาจะบูชามหายัญที่จะอำนวยประโยชน์สุขแก่พระองค์ตลอดกาลนาน พราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลแนะนำว่า บ้านเมืองขณะนั้นมีโจรผู้ร้ายมาก มีการปล้นบ้าน ปล้นนิคม ปล้นเมืองหลวง ดักจี้ในทางเปลี่ยว จึงไม่ควรฟื้นฟูพิธีพลีกรรมขึ้นมาในช่วงนั้น ควรปราบโจรผู้ร้ายให้หมดสิ้นไปก่อน แล้วกราบทูลวิธีปราบโจรแนวใหม่ในลักษณะปฏิวัติแนวความคิดเดิม ดังนี้ ๒.๒.๑ วิธีปราบโจรแบบเดิม วิธีที่พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงคิดจะปราบโจรผู้ร้ายโดยจับมาประหารชีวิตก็ดี จองจำก็ดี ปรับไหมก็ดี ตำหนิโทษก็ดี เนรเทศก็ดี ไม่ใช่วิธีที่ดี เพราะไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โจรที่พ้นโทษแล้วก็จะกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนต่อไปอีก ๒.๒.๒ เปลี่ยนหลักพัฒนาเศรษฐกิจขั้นมูลฐาน พราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลให้แก้ที่ต้นเหตุ คือความยากจนของคนด้วยวิธีปราบโจร แบบถอนรากถอนโคน ๓ วิธี (ดูข้อเสนอขั้นที่ ๑) ซึ่งเป็นหลักพัฒนาเศรษฐกิจขั้นมูลฐานนั่นเอง คือวิธีที่ ๑ ได้แก่การบำรุงและส่งเสริมการเกษตรของชาวไร่ชาวนา วิธีที่ ๒ ได้แก่การบำรุงและส่งเสริมกิจการธุรกิจของพ่อค้า แม่ค้า และวิธีที่ ๓ ได้แก่การบำรุงและส่งเสริมงานราชการของข้าราชการ ซึ่งทำให้เกิดผลมาแล้วในรัชสมัยของพระเจ้ามหาวิชิตราช คือเมื่อไม่มีคนจน บ้านเมืองก็สงบสุขและมีรายได้เข้าพระคลังมหาสมบัติอย่างมหาศาล วิธีการปราบโจรแบบถอนรากถอนโคนของพราหมณ์ปุโรหิตนี้ ถ้าเทียบกับราชสังคหวัตถุ คือ หลักการสงเคราะห์ของพระมหากษัตริย์ตามแนวพุทธ จะเห็นว่าเข้ากันได้ดี ราชสังคหวัตถุมี ๔ ประการ คือ ๑. สสฺสเมธํ ความฉลาดในการบำรุงพืชพันธุ์ธัญญาหาร หมายถึงรู้จักบำรุงและส่งเสริมการเกษตร ๒. ปุริสเมธํ ความฉลาดในการบำรุงข้าราชการ หมายถึง รู้จักบำรุงและส่งเสริมคนดีมีความสามารถของบ้านเมือง ๓. สมฺมาปาสํ ความฉลาดในการผูกผสานร่วมใจประชาชนด้วยการบำรุงและส่งเสริมอาชีพ เช่น ให้คนจนกู้ยืมเงินไปลงทุนสร้างตัวด้วยธุรกิจต่าง ๆ มีพาณิชกรรม เป็นต้น ๔. วาชไปย หรือ วาจาเปยฺย ความมีวาจาดูดดื่มน้ำใจคน หมายถึง รู้จักพูดให้ผู้ฟังเชื่อถือ นิยมรักใคร่ เข้าใจดีต่อกัน จนสมานสามัคคีต่อกัน๑ ๒.๓ ทรรศนะปฏิวัติแนวคิดทางการเมือง ๒.๓.๑ การปกครองแบบธรรมาธิปไตย พระเจ้ามหาวิชิตราชที่พระพุทธองค์ทรงนำมาเล่าให้กูฏทันตพราหมณ์ฟังนั้น เห็นได้ชัดว่า ทรงเป็นจักรพรรดิราช หรือ ราชาธิราช เพราะทรงรบชนะ มีเมืองขึ้นมากมาย แต่ละเมืองก็มีพระราชาปกครอง ระบอบการปกครองต้องเป็นแบบราชา ธิปไตย แต่เห็นได้ชัดเช่นเดียวกันว่า ทรงปกครองโดยธรรม ทรงถือธรรมคือความถูกต้องเป็นหลัก เช่น ทรงดำเนินตามคำแนะนำที่ชอบด้วยเหตุผลของปุโรหิตทุก ประการ ไม่ทรงรับของที่บรรดาเจ้าประเทศราช พวกอำมาตย์ ราชบริพารผู้ใหญ่ พวกพราหมณ์มหาศาลและพวกคหบดีมหาศาลนำมาถวาย จึงอาจเรียกระบอบการปกครองของพระองค์ว่าเป็นแบบธรรมาธิปไตยก็ได้ ๒.๓.๒ องค์ประกอบ ๑๖ ประการของมหายัญ ถ้าพิจารณาองค์ประกอบ ๑๖ ประการของมหายัญให้ลึกซึ้ง จะเห็นว่าเป็นหลักการปกครองหรือหลักรัฐศาสตร์ที่ทันสมัยที่สุด กล่าวคือ การตรวจและแสดงคุณสมบัติ ๘ ประการของพระเจ้ามหาวิชิตราช เทียบได้กับการแสดงวิสัยทัศน์ของนักปกครองในสมัยนี้ การตรวจและแสดงคุณสมบัติ ๔ ประการของพราหมณ์ ปุโรหิต ก็เทียบได้กับการแสดงวิสัยทัศน์ของข้าราชการชั้นสูง ผู้สนองงานของ นักปกครอง ส่วนอนุมัติ ๔ ที่ได้จากบุคคล ๔ พวก คือ (๑) พวกเจ้าผู้ครองเมือง หรือเจ้าประเทศราช (๒) พวกมหาอำมาตย์ราชบริพาร (๓) พวกพราหมณ์มหาศาล (๔) พวกคหบดีมหาศาล เทียบได้กับประชามติที่ได้จากการทำประชาพิจารณ์ นั่นเอง ๒.๓.๓ หลักการพัฒนาคน หลักการปราบโจรแบบถอนรากถอนโคนที่กล่าวมาข้างต้น นอกจากเป็นหลักการพัฒนาเศรษฐกิจขั้นมูลฐานแล้ว ยังจัดได้ว่าเป็นหลักการพัฒนาคนตามมุมมองทางการเมืองได้ด้วย เพราะมุ่งพัฒนาอาชีพของคน เท่ากับเป็นการสร้างคนให้มีความรู้ความสามารถในอาชีพการงานของตน อันเป็นเหตุให้ก้าวพ้นจากความยากจน เป็นคนมั่งมีขึ้นได้ อนึ่ง ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหลักการพัฒนาคนแบบ ยั่งยืนไว้ด้วย และถือว่าเป็นเป้าหมายของพระองค์ นั่นคือหลักการพัฒนาทางจิตจากระดับต่ำไปหาระดับสูง เริ่มจากการบูชามหายัญ ที่มีการเตรียมการมาก แต่มี ผลน้อย ไปหานิตยทานขั้นต่ำที่เจาะจงบุคคลผู้มีศีล ซึ่งหมายถึงปุคคลิกทาน เลื่อน ขึ้นสู่สังฆทาน เช่น การสร้างวิหารถวายสงฆ์ แล้วเลื่อนชั้นขึ้นเป็นการนับถือ พระรัตนตรัยหรือไตรสรณคมน์ การรักษาศีล การเจริญสมถกรรมฐานจนได้ฌาน แล้วใช้ฌานเป็นฐานเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปจนได้วิชชา ๘ บรรลุเป็นพระ อรหันต์อันเป็นอริยบุคคลชั้นสูงสุด
สรุป
มีพระสูตรจำนวนไม่น้อยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อปฏิรูปแนวความคิดทาง สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของสังคมอินเดียสมัยนั้นซึ่งเป็นแนวความคิดแบบพราหมณ์มาเป็นแนวความคิด แบบพุทธ ดังเรื่องมหายัญในกูฏทันตสูตรนี้ ถ้ามีผู้สนใจช่วยกันศึกษาวิเคราะห์พระสูตรเหล่านี้ในเชิงวิชาการอย่างจริงจัง แล้วนำมาเป็นแนวพัฒนาสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของสังคมไทยในปัจจุบัน ก็จะเกิดประโยชน์แก่ชาติและประชาชนได้อย่างมาก จึงขอเสนอเพื่อพิจารณา
บรรณานุกรม
|
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, มหาจุฬาเตปิฏกํ, เล่ม ๙, ๑๕, ๒๑. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,ราชวิทยาลัย ๒๕๓๙, เล่ม ๙, ๑๕, และ ๒๑. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี สีลกฺขนฺธวคฺคอฏฺฐกถา. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,ธมฺมปทฏฺฐกถา ภาค ๓. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,สํยุตฺตนิกาย สารตฺถปกาสินี สคาถวคฺคอฏฺฐกถา. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี ทุกาทินิปาตอฏฺฐกถา. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,องฺคุตฺตรนิกาย สารตฺถมฺชุสา องฺคุตฺตรฏีกา.
_______________
| ๑ ในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระไตรปิฏก เล่ม ๙ ดู พระไตรปิฏกภาษาไทย |
| |
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙,ข้อ ๓๒๓-๓๕๘, หน้า ๑๒๕-๑๕๐. |
| ๒ ดู สํ.ส. (แปล) ๑๕/๑๒๐/๑๓๘-๑๓๙; ธมฺมปทฏฺฐกถา (ฉบับมหาจุฬาฯ) ภาค ๓ หน้า ๑๐๐-๑๐๒; |
| |
องฺจตุกฺก.ฏีกา๒/๓๙/๓๗๑-๓๗๒ ประกอบ |
| ๓ ดู รายละเอียดในพรหมชาลสูตรและสามัญญผลสูตร ในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระไตรปิฏก เล่ม ๙; |
| |
ดู เวลามสูตร ในองฺ.นวก. (แปล) ๒๓/๒๐/๔๗๐ ประกอบ |
| ๓ สํ.ส. (แปล) ๑๕/๑๒๐/๑๓๘-๑๓๙; สํ.อ. ๑/๑๒๐/๑๓๔-๑๓๙: องฺ.จตุกฺก. (แปล) ๒๑/๓๙/๖๔-๖๖; |
| |
องฺจตุกฺก.อ. ๒/๓๙/๓๔๐-๓๔๑ | | |
| (ที่มา: -) | |
|
| (ที่มา: พระไตรปิฎก) |
| |
|